"ทำมาแทบตาย..สุดท้ายเท่ากับศูนย์"
ท่านให้หัวข้อนี้มา คุยยังไงดี ก็ถือว่าคุยกัน พี่ก็ไปตามของ ๆ พี่ก็แล้วกัน อ่านเพลิน ๆ ใจกัน เหมือนเดิมทุกวันน้อ
ในความรู้สึกของพี่ พี่รู้สึกว่า ที่พี่ทำมาแทบตาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร นอกจากความว่างเปล่า สุดท้ายก็กลับมาที่จุดเดิมของความไม่มี ไม่มีมาตั้งแต่ต้นของความจริง..จริง
พี่รู้สึกของ ๆ พี่อย่างนี้
เคยได้ยินคำนี้ไหม กรรมฐานคือการทวนกระแสอารมณ์ที่เป็นอยู่กลับคืนสู่ที่ตั้งของจิตเดิม
ท่านเคยกล่าวไว้ว่า จิตแท้ จิตเดิม ผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์อยู่แล้วตั้งแต่ต้น
เริ่มต้นของจิต..ไม่มี
ไม่มีอะไรในอะไรมาก่อน ตั้งแต่ต้นของความเป็นจิต
เนี่ยคือความจริง..จริง เป็นความจริงที่พี่เองก็ได้กลับมาเห็นในสิ่งนี้ของตัวพี่เองเหมือนกันว่า ตัวเราเองจริง ๆ ไม่มี
อันนี้ถือว่าเป็นการคุยเล่น ๆ กันน้อ
ถ้ามองอย่างคนไม่คิดมาก คิดแค่ตาย เธอรู้สึกไหม? มันก็มีของ ๆ มันอยู่แค่นี้ เกิดมาแล้วก็ตาย จะเป็นชาติไหนๆที่ผ่านมาทั้งหมด มันก็มีของ ๆ มันแค่นี้ จะเกิดอีกยาวนานมากมายแค่ไหน มันก็มีของ ๆ มันแค่นี้....เกิดแล้วตาย
ที่ทำมาทุกชาติแทบเป็นแทบตายในการเกิด สุดท้ายก็เป็นความว่างเปล่า ไม่อะไรเหลือในสิ่งที่ทำกันมาเลย แม้แต่ชาตินี้ ดิ้นรนทำกันไป หาเงินหาทอง หาความสุข สนุกภายนอก เจอเรื่องมากมาย มีนั่นมีนี่ มีเงินมีทอง มีผัวมีเมียมีลูก มีอะไรกันมากมาย ทะเลาะเบาะแว้ง ตีกัน อย่างเขาแบ่งสี บางคนหวังเป็นใหญ่ หวังเปลี่ยนแปลงประเทศ ยุยงส่งเสริมสร้างให้แตกความสามัคคี ทำลายความดีของในหลวง ท่านอย่างนี้มีในสมัยนี้ สร้างภาพตัวเองเป็นคนดีเสียสละเพื่อบ้านเมือง แต่ขาดซึ่งศีล ๕ โกงเงินภาษีประชาชน สร้างความเดือดร้อนกับคนบางกลุ่ม เออต่อให้รวยแค่ไหน หรือใครจะทำอะไรดีแค่ไหน เลวแค่ไหน มีอะไรมากมายแค่ไหน
เราลองมองดูเล่น ๆ แม้แต่ตัวของ ๆ เราเอง เธอก็รู้สึกว่าถ้าตอนนี้เธอตาย ทุกคนตาย ต้องไปจากร่างกายนี้ จากทุกอย่างในโลกนี้ ที่ทำมาแทบตายทั้งดีและไม่ดี ทะเลาะวุ่นวายกัน หาสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมาย บางคนทะเลาะในความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน แบ่งแยกตีกัน สุดท้ายต่างคนต่างตาย นั่นสิ! แล้วได้อะไรกัน ในเมื่อที่ทำมาทั้งหมดก็ต้องไปจากสิ่งเหล่า ๆ นี้ด้วยความตาย
ถามคำเดียว ตายแล้วเอาอะไรไปได้จากที่ทำมาทั้งหมด มีไหม?
ไม่ต้องใช้ปัญญามาก มองอย่างตรงไปตรงมา ได้อะไรไหม ในสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ถ้าตอนนี้ต้องตาย? จะตอนนี้ จะตอนไหน เราก็ไม่เคยเห็นใครเกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี
.ตายหมด จริงไหม? แล้วใครตายแล้วเอาอะไรไปได้บ้าง มีไหม?
คนเราไม่ต้องไปดูอะไรมาก ถ้านึกถึงความตายจริง ๆ ไม่มีใครเกาะยึดเอาอะไรวุ่นวายอะไร ในเมื่อตายแล้วไม่ได้อะไรจากในมันเลย
คนส่วนใหญ่ประมาทในชีวิต ไม่นึกถึงความตายกัน ไม่มองจริงในความจริง..จริง ๆ กัน ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียวจริง นอกจากจิตของตนอย่างเดียวจริง
จิตเร่าร้อนเศร้าหมอง ตายแล้วไปอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น
จิตผ่องใสเป็นกุศล ตายแล้วมีสวรรค์เป็นต้น เป็นที่ไป
ก็มีอยู่แค่นี้ของชีวิตของคนทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้
ยังไง ๆ ตายแน่ ๆ ไม่มีใครไม่ตาย..ไม่มี
ยังไง ๆ ไปแน่ ๆ ไม่นรกก็สวรรค์
นี่คือคนทั่วไปที่ไม่สนใจในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจริง ทางเดินของชีวิตของเขาก็มีสองทาง ไม่นรกก็สวรรค์ แต่ที่เห็น คนสมัยนี้ตายแล้วพุ่งลงนรกมากกว่าไปสวรรค์
ใครฝึกมโนมยิทธิ ใครมีทิพจักขุญาณก็ดูเอา คนสมัยนี้ตายแล้วลงนรกมากจริง ๆ มีแต่จิตเร่าร้อน เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ ผิดศีลผิดธรรม ขาดซึ่งความกตัญญูรู้คุณผู้มีคุณ มีความโลภ มัวเมาในวัตถุ หาใจคนสงบใจ มีศีลมีธรรมจริง มีความกตัญญูรู้คุณผู้มีคุณจริง มีน้อยมาก ๆ ในโลกนี้
แต่สุดท้ายไม่ว่าชีวิตของใครจะเป็นยังไง ดีแค่ไหน เลวแค่ไหน ทำอะไรมามากมายแค่ไหน รวยระดับไหน ระดับชาติก็ตาย จะยากจนก็ตาย สุดท้ายก็มีความตายเป็นที่สุดเหมือนกันหมดทุกคน จบตรงความตายเหมิอน ๆ กันหมด ทุกอย่างแค่ตายจริง ๆ
ทุก ๆ ชาติที่ผ่านมา ก็มีสภาพอย่างนี้เหมือนกันหมด จบลงที่ความตาย ทุกอย่างแค่ตายเหมิอนกันหมด สุดท้ายก็เป็นอดีต เป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
จะเป็นอดีตสมัยไหน ๆ ก็ตาม จะเป็นสมัยสุโขทัย สม้ยอยุธยา สมัยใด ๆ ก็ตาม ก็เคยมีคนในสมัยนั้น ๆ มาก่อน มีคนดี มีคนเลว มีคนมีอำนาจ มีเงินมีทองมากมาย มีคนทะเลาะแบ่งแยกตีกัน สุดท้ายไม่ว่าทุกอย่างจะเป็นยังไง ก็ตายกันไปหมดแล้ว เป็นอดีต เป็นความว่างเปล่าไปหมดแล้ว แม้แต่คนในสมัยปัจจุบันนี้ สุดท้ายก็ไม่ต่างกับในสม้ยอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด ก็จบลงตรงความตาย กลายเป็นคนในอดีตเหมือนคนทั้งหลาย ที่เคยเกิดมาในสมัยนั้นสมัยโน้นเหมือนๆกัน
ที่ทำมาแทบตายก็คือศูนย์ ไม่ได้อะไรจากในมันเลย จะเป็นชาติไหนที่เกิดมานับชาติไม่ถ้วน แม้แต่ชาตินี้ของคนทุกคนที่เกิดมาที่ทำมาแทบตาย สุดท้ายเท่ากับศูนย์ คือว่างเปล่า ไม่ได้อะไรจากมันเลย
ลองวางใจมองดู จริงไหม? ทำมาแทบตายเท่ากับศูนย์จริง ๆ แล้วจิตเธอจะโลภ จะอยาก จะดิ้นรนวุ่นวายในอะไรในมันไปทำไมให้จิตเร่าร้อน เศร้าหมอง เป็นทุกข์ พาลงอบายภูมิ เพื่อประโยชน์อะไร ในเมื่อที่ทำมาทั้งหมดสุดท้ายเท่ากับศูนย์ แต่จิตเกาะวุ่นวายในมัน ตายแล้วไปอบายภูมิ
มองดู...จริงไหม? ที่เรามองดูแค่ตาย ตายแล้วไม่ได้อะไรในมันเลย ทุกอย่างจบแค่ตายจริง ๆ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ตายแน่ ไม่มีใครไม่ตายไม่มี
เรื่องตรง ๆ ของมันมีแค่นี้ กลับไม่มีใครดูแค่นี้จริง ทุกอย่างแค่ตาย จบแค่ตาย ไม่ได้อะไรในมันเลย ทำมาแทบตายเท่ากับศูนย์คือว่างเปล่าจริง ๆ แล้วจะเกาะยึด หลงในมัน เอาจิตไปยุ่งวุ่นวายในมัน ทำร้ายใจของตนให้เร่าร้อน เป็นทุกข์ เศร้าหมอง พาลงอบายภูมิ มีนรกเป็นต้นเพื่อประโยชน์อะไร นี่เราคุยถึงคนทั่วไปที่หลงมัวเมาในโลก ในขันธ์ ๕ ร่างกาย ในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด มองแล้วน่าเห็นใจ ที่เขายุ่งวุ่นวาย ติกัน ด่ากัน ทะเลาะกัน แบ่งสีแบ่งพวกกัน สุดท้ายเขาได้อะไร จริงไหม? ในเมื่อสุดท้ายต้องตายจากโลกนี้ไป แล้วก็ไปตามกรรมของแต่ละคนที่ทำกันมา ตามสภาพจิตก่อนตายของแต่ละคน
มองเห็นไหม ทุกอย่างไม่มีอะไร ต่างจบลงตรงความตายเหมือนกันหมดทุกคนจริง
นี่เรามองแค่ตาย เธอเห็นชัดไหม จิตดิ้นรน วุ่นวาย แทบเป็นแทบตาย สุดท้ายไม่ได้อะไร ว่างเปล่าอย่างเดียวจริง ๆ
ผู้เห็นความจริง เห็นตัวใจจริง เห็นร่างกายไม่ใช่เราจริง เห็นตัวเองจริงคือใจ เห็นความตายมีอยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าและออก เห็นการเกิด การมีร่างกายมันมีแต่ทุกข์อย่างเดียวจริง เห็นชีวิตที่เป็นอยู่ มันคือความว่างเปล่าจริง ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของ ๆ เราจริง ไม่มีมาตั้งแต่ต้นของความเป็นใจ เริ่มต้นของใจไม่มี ตัวเราเองจริง ๆ ไม่มี ว่างมาตั้งแต่ต้นในความจริงของตัวใจเราเองจริง เห็นการเกิดมานับชาติไม่ถ้วนล้วนมาจากความโง่ของจิตตนที่เห็นจริงไม่จริง ยึดเกาะในสิ่งที่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของ ๆ เราจริง ปรุงแต่งสร้างภพสร้างชาติสร้างเวรสร้างกรรมมานับชาติไม่ถ้วน ทุกข์บนความว่างเปล่าโดยแท้ ไม่ได้อะไรจากการเวียนว่ายตายเกิดของตนสักอย่างเดียวเองจริง
สุดท้ายคือกลับมาเหมือนเดิม มาอยู่จริงในความจริงของใจ ในความไม่มีของตัวใจเราเองจริง เริ่มต้นไม่มี สุดท้ายกลับสู่ความไม่มีของใจตน มีแค่นี้เอง ด้วยเห็นความจริง ตัวเราจริง ๆ คือใจ ใจคือความรู้สึก ว่าง ๆ สงบ อิสระ เบิกบาน ในความรู้สึกว่าง ๆ คือตัวเราเองจริง จริงในความจริง..จริง ขันธ์ ๕ ร่างกาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นคนละส่วนจริงกับตัวใจเราเองจริง เราคือเรา เราคือใจ เรามีเรา เรามีของ ๆ เราจริงแค่นี้จริงมีจริงแค่ความรู้สึกจริงของตัวใจเราเองจริง
ทำมาแทบตาย สุดท้ายก็มีจริงแค่นี้ ใจว่าง ๆ สงบ อิสระ เบิกบาน ในตัวใจของตัวเราเองจริง จริงในความจริง..จริง เหมือนเดิมทุกอย่างของตัวใจเราเองจริง ทำมาแทบตายเท่ากับศูนย์จริง ๆ
คุยอย่างที่พี่เห็นของ ๆ พี่น่ะ
กลับมาจุดเดิมในความจริงของใจ ใจในความจริง..จริง เหมือนเดิมทุกอย่างของตัวใจเราเองจริง ที่เวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วน แม้แต่ชาตินี้ ทำมาแทบเป็นแทบตายในการอาศัยขันธ์ ๕ ร่างกายนี้อยู่
สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย นอกจากใจของใจเราเองจริง
เรามีเรา เรามีของ ๆ เราเองจริงแค่นี้จริง ใจตัวเดียวของตัวเราเองจริง
ใจคือความรู้สึก
ว่าง ๆ สงบ อิสระ เบิกบาน คือตัวใจเราเองจริง
เราได้ในสิ่งที่เรามีของ ๆ เราเองอยู่แล้ว ในความจริงของตัวใจเราเองจริง
เราได้แค่นี้ ได้ในสิ่งที่เรามีของ ๆ เราเองจริง
ทำมาแทบตายเท่ากับศูนย์ คือไม่ได้อะไรเลยจริง
เราได้ในสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวใจของตัวเราเองจริง
พี่เห็นของ ๆ พี่อย่างนี้จริง ถ้าไม่ตรงกับของใครก็น้อมกราบขอโทษด้วย ก็อย่าถือเป็นสาระ เป็นตำราเป็นอะไร พี่ไม่ได้คิดสอนใคร ที่คุยเนี่ย แค่คุยให้อ้านเล่น ๆ เพลิน ๆ ใจกัน
พี่จึงของคุยพี่ไปตามหัวข้อที่ท่านให้มา หัวข้อมันบังคับน้อ
ท่านให้มาอย่างนี้วันนี้ ทำมาแทบตายเท่ากับศูนย์ พี่ก็ต้องคุยไปตามนี้ ตามความรู้สึกของใจพี่
ใช่...เท่ากับศูนย์จริง ๆ จบตรงจุดเดิมจริงของใจเราเองจริง ในความไม่มีของตัวใจเราเองจริง แค่นี้เอง
กรรมฐานคือการทวนกระแสอารมณ์ที่เป็นอยู่ กลับคืนสู่ที่ตั้งของจิตเดิม
เริ่มต้นของจิต..ไม่มี
เราไม่มีอะไรมาตั้งแต่ต้น..จริง
ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของ ๆ เรา...จริง
นี่คือความจริง...จริง
ตัวเรา...ไม่มี
ตัวเราจริง ๆ คือใจ
ใจเป็นนามธรรม ไม่มีรูป ว่างไม่มีขอบเขต
มีจริงแค่ความรู้สึก
ว่าง ๆ สงบ อิสระ เบิกบาน
ในความจริง..จริง ๆ มีแค่นี้เองจริง ๆ
วันที่พี่หยุดใจจากภายนอก หมดใจในทุกอย่างจริง
หมดความปรารถนาในอะไร ๆ..จริง
กลับมารักใจตัวเอง..จริง
กลับมามองความจริง..จริง
กลับมาต้องการจริงแค่ใจ ใจสงบสุขใจ อิสระจริง ใจสบายใจของใจจริง..พอ
กลับมาเอาในสิ่งนี้ของใจตนจริง
กลับมาเห็นค่าของใจพระองค์จริง ในความรักของใจพระองค์ท่านจริง ใจท่านทรงรักใจเราจริง ทรงให้ใจกับใจเราจริง ทรงดูเรามาตลอดจริง ทรงไม่เคยทอดทิ้งใจเราเลย
เราเห็นสิ่งนี้ในใจพระองค์ท่านจริง เราจึงกลับมาจริง ให้ใจของเราจริงกับใจพระองค์ท่านจริง องค์เดียวจริง ใจของใจไม่ให้ใครอีกแล้วจริง เราให้ใจพระองค์ท่านหมดใจเราจริง
เราทนทุกข์ของใจ แม้สักนิดหนึ่งไม่ไหวแล้วจริง ๆ มองย้อนลงไปในทุกชาติที่ผ่านมาทั้งหมดของตัวเอง ทำมาแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายไม่ได้อะไร นอกจากความว่างเปล่าอย่างเดียวจริง ๆ
วันนั้นเห็นอย่างนี้ ในใจรู้สึกถึงความทรมานกาย ทรมานใจในภพชาติการเกิดมานับชาติไม่ถ้วนของตัวเราเอง มันได้อะไรในการเกิด มันได้อะไรจากสิ่งที่จิตของเราไปยุ่งวุ่นวายในมัน ในทุก ๆ ชาติที่เราเกิดมาทั้งหมด ไม่ได้อะไรเลย นอกจากทุกข์บนความว่างเปล่าอย่างเดียวเองจริง ๆ รู้สึกสลดใจในความโง่ของจิตตนจริง รู้สึกละอายใจในทิฐิมานะของจิตของตน ที่ไม่เชื่อใจพระองค์ท่านจริง ในคำสอนของท่าน ในความรักของใจพระองค์ท่านจริง
เราดื้อ ไม่มองตามคำสอนของพระองค์ท่านจริง เราไม่เชื่อใจพระองค์ท่าน เราถึงต้องมาเกิดมาทุกข์ทรมานในภพชาติการเกิดมายาวนานแสนนาน ไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัมภเวสี เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นคน มานับชาติไม่ถ้วน มีแต่ความทุกข์ทั้งทางกายและทั้งทางใจ ถึงจะไปเกิดบนสวรรค์ บนพรหมโลก ก็แค่พักทุกข์ สุขก็สุขไม่จริง หาใจสงบอิสระใจจริง..จริง..ไม่มี พักทุกข์ชั่วคราวแล้วก็ลงมาเกิดต่อไป เป็นอย่างนี้มายาวนานแสนนานมาจวบจนชาตินี้ เราหาคำว่าใจ..ใจสุขใจจริงที่สุดจริงของใจเราจริง ๆ ไม่มี
พี่มองตรงนี้ของพี่ มีแต่ทุกข์ของการเกิด ทุกข์บนความว่างเปล่าอย่างเดียวเองจริง ๆ ทุกข์เพราะความดื้อรั้น ไม่เชื่อความดีของใจพระองค์ท่านจริง
วันนั้นกลับมาดูทุกอย่างในสิ่งนี้ของจิตตน เราได้อะไร? เราไม่ได้อะไร? ทำมาแทบเป็นแทบตาย ปรารถนาพุทธภูมิ มีแต่จิตคิดให้คนอื่นอย่างเดียวจริง ทำให้แทบเป็นแทบตาย ก็ยังหาใจของใครมีใจสุขใจจริงในสิ่งที่เราให้...ไม่มี หาใจใครรักใจเราจริง..จริง ๆ..ไม่มี หาใจของใจใครจริง..จริงใจจริงกับใจเราจริง..จริง ๆ..ไม่มี
ทำให้แทบตาย ช่วยทุกอย่างที่ที่ทำให้ได้ พอไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ไม่เป็นไปตามความคิดเห็นของเขา เขาก็เล่นงานเรา เราพบอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เจอนับชาติไม่ถ้วนในสิ่งนี้ ในใจพี่รู้สึกถึงสิ่งนี้ของใจพี่จริง เราได้อะไร?
ทำแทบตาย ช่วยอะไรในใจของใจใครจริง ให้ในใจของเขาสุขใจจริง..ไม่มี ช่วยไม่ได้
รู้สึกยังไง? เหนื่อย..เหนื่อยในใจในสิ่งนี้ของใจตัวเองจริง มันหยุดใจด้วยสิ่งนี้ เราไม่สมารถช่วยใจของใครจริง ให้พ้นทุกข์ของใจเขาได้จริง เราไม่สามารถช่วยใจของใจใครจริง ให้สุขใจของเขาจริง..ได้จริง และที่ผ่านมาทุกชาติ ทำมันมาแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายก็เป็นอดีต เป็นความว่างเปล่า ไม่ได้อะไรในมันเลยสักอย่างเดียวเองจริง
ตอนเดือนกุมภาพันธ์ปี 55 ต้นเดือน นั่งพิงข้างฝาห้องตอนประมาณสองทุ่มกว่า ๆ จำได้
ในใจรู้สึกอย่างนี้จริงว่า ทำมาแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายเราไม่ได้อะไรเลย ในคำว่าใจ..ใจอิสระจริง ใจสบายใจที่สุดจริง ใจสุขใจของใจจริง ในสิ่งเหล่าๆนี้ของใจเราจริง..ไม่มี ทำมาแทบเป็นแทบตาย เราไม่สามารถช่วยใจของใจใครจริงได้จริง ให้ใจของเขามีใจ ใจสุขใจจริง..จริงของใจเขาเองจริง..ไม่ได้เลย
ในใจพี่เห็นชัดในคำนี้จริง
"ทำมาแทบเป็นแทบตายเท่ากับศูนย์...ไม่ได้อะไรเลย"
เป็นเธอรู้สึกยังไง ถ้ากลับมาเห็นในสิ่งนี้ของใจเธอจริง เห็นความผิดพลาดของจิตตนจริง ที่เกิดมาทั้งหมดนับชาติไม่ถ้วน ทุกข์ทรมานกายทรมานใจอย่างแสนสาหัสของภพชาติการเกิดของตัวเอง มาจากความผิดพลาดของจิตตนจริงอย่างเดียวจริง ที่ไม่เห็นจริง..จริงในความจริง..จริง ที่ไม่เชื่อจริงในคำสอนของพระองค์ท่านจริง ที่รู้จริงไม่จริง กลับเอาความคิดเห็นของจิตของตน เป็นตัวเดิน เอาความชอบ เอาความชอบของจิตของตนมาเป็นต้วเดิน ไม่ได้อะไรเลย มีแต่พาหลงเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ในความโง่ ในทิฐิมานะ ในความชอบ ในความไม่ชอบของจิตตนอย่างเดียวจริง รู้สึกสลดใจ ละอายใจในใจตัวเองจริง นี่เราไม่น่าดื้อกับพระองค์ท่านเลยจริง ๆ
ทำไมเราไม่เชื่อใจพระองค์ท่านจริง ทำไมจิตเลวขนาดนี้ ไม่เห็นค่าในความรักของใจพระองค์ท่านจริง ที่ทรงหาความจริง หาทางพ้นทุกข์ มีทางจริงของใจ ใจในใจสุขใจของใจจริง ไว้ให้เราหมดแล้วจริง
น้ำตาตกใน สลดใจในความเลวของใจตัวเองจริง ลูกไม่น่าดื้อกับพ่อเลย ลูกเลวจริง ๆ ที่ไม่เห็นค่าในความรักของใจพ่อจริง ที่ทรงทำเพื่อใจเราจริง ไม่เคยสนใจในใจพ่อเลย มีแต่สนใจสิ่งอื่น ไปยึด ไปเอาสิ่งอื่นมามีค่า มามีความสำคัญ มาเป็นสุขของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่า ๆ นี้ ล้วนเป็นโทษทำร้ายใจเราเอง เรากลับไม่เห็น ไม่เชื่อจริงในคำสอนของพระองค์จริง กลับเอาคำสอนของท่าน มาคิดเองเออเอง แต่กลับไม่ถึงจริง จริงในความสุขใจของใจจริง จริงตามพระองค์ท่านจริง
จิตของลูกช่างเลวบัดซบจริง ๆ ดื้อรั้น ทะนงตน มั่นในความคิดเห็นเป็นใหญ่ เอาแต่ความชอบ ความไม่ชอบ ไม่กลับมามองจริง จริงในความจริง..จริง ตามพระองค์ท่านจริง สลดใจในสิ่งนี้ของใจตัวเองจริง จึงกลับมาว่า นับแต่นี้ไปจะไม่เอาความคิดเห็น เอาสิ่งเหล่า ๆ นี้มาเป็นตัวเดินของจิตลูกอีกต่อไปจริง ลูกยอมพ่อแล้ว ลูกทนไม่ไหวในความทุกข์ของใจ ลูกไม่เห็นจิตของใครทั้งหมดในวัฏฏะสงสารนี้ที่ยังมีอุปาทานจิตอยู่ มัวเมาในความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ เอาความชอบ เอาความไม่ชอบของตนเป็นใหญ่ จิตเหล่า ๆ นี้ที่จะมีใจ..ใจรักใจที่ใจจริง..ไม่มี ที่จะมีใจ..ใจจริงใจที่ใจกันจริง..ไม่มี
เราไม่เห็นในสิ่งนี้ของจิตใคร เห็นแต่ความเห็นแก่ตัวของจิตคน มีแต่ความอยาก มีแต่ทิฐืมานะ มีแต่สิ่งเหล่า ๆ นี้มาสร้างเวรสร้างกรรมกัน หาใจของใครจริง ที่จะมีใจ..ใจรักใจกันจริง ใจจริงใจจริงกันจริง ใจให้ใจ ใจสุขใจในใจกันจริง ใจอยู่อย่างใจ ใจสงบสุขใจในใจจริง...ไม่มี
ไม่มีจิตของคนที่ยังมีอุปาทานจิต มีความอยาก มีทิฐิมานะ ถือความคิดเห็น ความชอบ ความไม่ชอบของจิตตนเป็นใหญ่ เราก็หาความสงบสุขใจจริง อิสระใจจริง สบายใจของใจจริง จากสื่งนี้ของจิตของตน..ไม่มี
พี่จึงกลับมา หยุดจากสิ่งนี้จริง มองในใจตัวเองจริง มองดูแค่ใจตัวเองจริง มองเห็นความรักของใจพระองค์ท่านจริง มองเห็นความดีในใจของใจพระองค์จริง พ่อรักใจเราจริง พ่อจริงใจจริงกับใจเราจริง พ่อให้ใจพ่อหมดใจกับใจเราจริง เรารู้สีกจริง จริงในใจของใจเราจริง มองเห็นในความรู้สึกจริงของใจ ในใจของใจพี่เองจริง ทำมาแทบตาย ทนทุกข์ทรมานกายทรมานใจอย่างแสนสาหัสในภพชาติของการเกิดของเรา ใจพี่ทวนถึงชาติแรกของการเกิดเป็นดวงจิต
สมเด็จพ่องค์ปฐม ตอนนั้นท่านทรงเสด็จมา พี่เห็นท่านลอยอยู่เบื้องหน้าพี่ ณ.เวลานั้นมีแค่พี่กับท่าน ท่านทรงตรัสว่า ลูกเกืดตั้งแต่พ่อยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ในความรู้สึกของใจ ท่านทำภาพให้ดู เราเกิดตอนนี้ ในใจก็รู้สึกอย่างนี้ตามท่านจริง ด้วยข้างในมันรู้สึกถึงความทรมานใจในการเกิดมามากมายของตัวเองจริง นี่เราจากท่านมานานแสนนานจริง ๆ ไปเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ไปยุ่งวุ่นวายกับสิ่งไร้สาระ ไปยุ่งวุ่นวายอยู่กับจิตที่หาความจริงใจจริง..ไม่มี ทรมานกายทรมานใจจริง ๆ ไปสร้างเวรสร้างกรรมร้ายดวงจิตมามากมายในภพชาติการเกิดของเรา ถึงไปช่วยเขา ก็หาได้ช่วยใครได้จริง ๆ ไม่ ไม่สามารถนำพาใจของใครสักคนให้สุขใจของใจเขาจริง
นี่เราทรมานโหยหาในความรักของใจเราเอง เราทำทุกอย่างด้วยใจรักพ่อ รักท่าน แต่ไม่เคยจะกลับมามองในความจริง..จริง ในภายของใจพระองค์ท่านจริง กลับเอาทิฐิมานะความคิดเห็น ความชอบ ความไม่ชอบของจิตตนเป็นตัวเดินมานับชาติไม่ถ้วน เกิดแล้วเกิดอีก จนกระดูกของการเกิดเป็นคนเอามากองรวมกัน ของการเกิดของเราเอง เป็นภูเขาหลายลูกมาก ๆ ในใจมองเห็นสิ่งนี้ มองด้วยความสลดใจตัวเองจริง นี่เราไปเอาอะไร เราไปทำอะไร ไปยุ่งดิ้นรนเอาอะไร ทำมาแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยใจของใจใครจริง..ได้จริง จึงหมดใจเกิดของใจเราเองจริง
ไม่ใช่ไม่อยากเกิดแค่หนีทุกข์ แต่หมดใจจริง ด้วยหมดใจปรารถนาจะมาอะไรกับใจของใครอีกต่อไปจริง หมดความอยาก อยากยุ่ง อยากช่วย ไม่คิดแตะต้องจริงในกรรมของใครอีกต่อไปจริง หมดใจในสิ่งนี้จริง ด้วยทนทุกข์ในสื่งนี้ของใจตนอีกไม่ไหวจริง ๆ หยุดใจในภายนอกจริง หันกลับมาดูจริง..จริงในภายในของใจตัวเองอย่างเดียวจริง ตัวเราจริง ๆ คืออะไรจริง
เราเคยเห็นแล้วในความว่างของตัวเราเองจริง
เราเคยเห็นความจริงว่าเรากับจิตเป็นคนละส่วนกัน จิตเป็นธาตุอณูเล็ก ๆ มากมายมารวมตัวกัน เรากับจิตอยู่ด้วยกัน แต่เป็นละส่วนกัน สิ่งนี้เราเห็นของ ๆ เราจริงเองจริงมานานแล้ว
ตัวเราจริง ๆไม่มี..ว่างไม่มีขอบเขต ก็พบสิ่งนี้ด้วยตัวของเราจริงนานแล้ว
เริ่มต้นจริง ๆ ตัวเราจริง ๆ มาจากไหนจริง ก็พบสิ่งนี้มานานแล้ว
แต่ที่ผ่านมาในใจเราแยกไม่ชัดจริง กายกับใจ ในตัวเราจริง ๆ ว่าเราจริง ๆ คือ ความรู้สึก รู้สึกในตัวใจของตัวเราเองจริง แต่กลับยึดอาการของร่างกาย ความคิด ความจำ อารมณ์ว่ามันเป็นเรา เป็นของ ๆ เรา เนี่ยติดโรคโง่มาหลายปีมาก ๆ เห็นไม่ชัดในความจริง..จริง
ติดความปรารถนาอยากช่วยคน ไปยุ่งวุ่นวายกับกรรมของคนอื่น หวังช่วยในสิ่งที่เขาตั้งใจทำ เพื่อช่วยงานพระท่าน แต่สุดท้ายจิตเขาเปลี่ยนไป
แล้วเราก็เห็นชัดในสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดของเรา เราไม่สามารถช่วยใครให้มีใจสุขใจของใจจริง ในใจของใจเขาจริง ช่วยไม่ได้! เขามีอุปาทานจิต เขายึด เขาสร้างด้วยตัวของเขาเอง เขาต้องถอดถอนในสิ่งนี้ของจิตเขาเองจึงจะพ้นทุกข์ สุขใจของใจเขาเองจริง
แม้แต่ตัวของเราเองก็เช่นกัน เราต้องถอดถอนอุปาทานของจิตเราเองจริง เดินจริงเข้าหาจริงในความจริง..จริง และสุขใจของใจเราเอง ด้วยใจของใจเราเองจริง เราจึงมามองในสิ่งนี้ของใจเราเองจริง มองความจริง..จริง หาความสุขใจ อิสระใจ สบายใจที่สุดจริง จริงของใจเราเองจริง ใจเราให้ใจพระองค์หมดใจเราจริง ด้วยกลับมาดูจริง มีแต่ใจของใจพระท่านรักใจเราจริง จริงใจจริงกับใจเราจริง ให้ใจกับใจของใจเราจริง ใจตั้งเป็นหนึ่งเองในใจพระท่านจริง ใจตั้งเป็นหนึ่งเองจริงเอาจริงในความจริง..จริง ใจตั้งเป็นหนึ่งเองจริง ต้องการจริงในความเป็นอิสระจริงของใจเราจริง
พอในใจเป็นอย่างนี้ของใจเราเองจริง อยู่ ๆ เหมือนมีอะไรดันจิตเคลื่อนออกมาจากร่างกาย ลอยออกจากร่างกาย ลอยตามพระองค์ท่านไป ไปหยุดอยู่ที่หนึ่ง ในความรู้สึก..ว่างมหาศาลอย่างเดียวจริง ไม่มีอะไรเลยในสื่งนี้เลย แม้กระทั่งตัวของตัวเราเองก็ไม่มี ว่างอย่างยิ่งจริง ๆ
ในความว่าง มีแต่ความรู้สึกจริงของใจเราเองจริง สงบ เย็น อิสระใจจริง สบายใจที่สุดจริง จริงของตัวเราเองจริง ในความรู้สึก พระองค์ทรงตรัสกับพี่ว่า "นี่คือความจริง"
เราก็รู้สึกในใจเราเองอย่างนี้เหมือนกันว่า เบื้องหน้าไม่มีอีกแล้ว มีสื่งนี้อย่างเดียวจริง ถอยหลังกลับไปเห็นร่างกายนั่งพิงข้างฝาห้องอยู่ เห็นทุกข์อย่างของร่างกาย มันคนละส่วนจริง..จริงกับตัวเราจริง เป็นคนละส่วนจริง..จริงกับความจริงนี้จริง
เราจริง ๆ ในความจริงมีเพียงแค่นี้เองจริง ๆ ความรู้สึกจริงของใจ..ใจในความจริง..จริง ว่างไม่มีขอบเขตจริง สงบเองจริง เย็นเองจริง อิสระจริงเองจริง เบิกบานจริงเองจริง จริงในความจริงของตัวใจเราเองจริง
ใช่..นี่คือจริง จริงในความจริง..จริง พอใจเห็นจริง มั่นใจในสิ่งนี้ของใจตนจริง อยู่ ๆ ก็ลอยกลับเข้าร่างกาย
พอกลับมารู้สึกชัด มันกับเรา ทุกส่วนของร่างกาย รูป เวทนา ความคิด ความจำ อารมณ์ อาการทางกายทุกอย่าง ล้วนเป็นคนละส่วนกับตัวเราเองจริง
ความรู้สึกว่าง ๆ คือเราจริง เราในความจริง ไม่ว่าร่างกายมันเป็นยังไง อาการทางกายจะเป็นยังไง ความคิด ความจำ ทุกอย่างของมันจะเป็นยังไงของมันก็ตาม ความจริงในตัวเรา ความรู้สึกว่าง ๆ ของเรายังเหมือนเดิมทุกอย่างเองจริง
ก็ดูเห็นชัดในสิ่งนี้ แล้วก็ล้มตัวนอน ตื่นเช้ามาลืมตามา เห็นสมเด็จพ่อองค์ปฐมลอยอยู่กลางห้อง ทรงตรัสว่า
"พระอนาคามีถึงด้วยตัวทำ
อรหัตมรรคขึ้นไป..ถึงด้วยใจเห็นความจริง"
แล้วท่านก็ทรงหายไป
พี่ไม่สนใจในสิ่งนี้ สนใจจริงแค่ใจ ใจสงบสบายใจ อิสระใจของใจในภายใน..ในความรู้สึกจริงของใจเราเองจริง..พอ
ก็อยู่อย่างนี้เรื่อยมา จิตค่อย ๆ เห็นชัดละเอียดมากขึ้น จนมาถึงเห็นความจริงที่สุดจริง..จริงของความจริง..จริง นั่นคือใจในภายในของใจพระองค์จริง คือจริง..จริงในความจริง.จริง ที่สุดจริง
ในเช้ามืดของวันที่ 13 ส.ค.58 ใจสุขใจในใจพระองค์จริง ความรักของใจพระองค์จริง สิ่งนี้คือจริง..จริงในความจริง..ที่สุดจริง ใจพระองค์ดีที่สุดของใจเราจริง ใจเห็นจริงในสิ่งนี้จริง มั่นใจจริงในสิ่งนี้จริง สุขใจเราจริงในสิ่งนี้ของใจพระองค์จริง จิตเลยขยับเองจริง เข้าสู่จริงในภายในของใจพระองค์ท่านเองจริง ใจในใจจึงอยู่ในใจพระองค์เองจริง รู้สึกสงบสุขใจของใจตนจริง..จริงในความดีของใจพระองค์ท่านจริง
เริ่มต้นของจิต..ไม่มี
ใช่..เป็นเช่นนี้..จริงๆ
สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าคือความว่างเปล่า
ใช่..เป็นเช่นนี้จริง
ทำมาแทบตาย สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย ล้วนคือว่างเปล่าทั้งหมดทั้งสิ้นจริง
สุขทั้งหมดมีอยู่แล้วจริงที่ใจ ในภายในของใจจริง
ใช่..เป็นเช่นนี้จริง
เราสงบสุขใจจริง ในสิ่งนี้ของใจเราเองจริง เราสงบสุขใจจริงในใจของใจพระองค์จริง สุขใจในความรู้สึกจริงของใจ..ใจในใจ ของใจกันจริง
ใช่..เป็นเช่นนี้จริง
เราเห็นชัด เรารู้สึก เรามั่นใจในสิ่งนี้ของใจเราเองจริง ความดีของใจพระองค์ท่านเป็นที่สุดจริง..จริงของใจเราจริง เรากลับรู้สึกสุขใจเองจริง ใจตั้งอยู่จริงมั่นคงจริงในสงบนิพพานของใจเราจริง จริงในความรู้สึกในภายในของใจเราเองจริง เราจึงพอของใจเราจริงในสิ่งนี้ของใจเราจริง
เราจึงบอกกับทุกคนว่า
"สงบสุขใจในความดีของใจพระท่านจริง สงบสุขใจนี้ดีที่สุดจริง จริงของใจเราจริง สงบสุขใจนี้พาใจเราถึงจริงซึ่งพระนิพพานของใจเราจริงเองจริง"
พอเข้าใจนะครับ ที่คุยมาทั้งหมด
คุยเพื่ออะไร? จะได้เห็นทางของใจ..ใจในใจในสุขใจของใจจริง
พี่คุยให้แล้ว ก็ลองวางใจตามดู
ดีก็เอา
ทำมาแทบตายสุดท้ายเท่ากับศูนย์
สุขอยู่ที่ใจในความรู้สึกจริงของใจ ใจในใจของใจกันจริง..นี่เอง
ใจพระองค์ท่านคือดวงใจวิเศษสุด ประเสริฐสุด ดีที่สุดจริง จริงของใจในทุก ๆ ดวงใจจริง จงกลับมา มาอยู่กับใจ ใจในใจของใจท่านจริง รักจริง จริงใจ รู้คุณความดีของใจพระองค์จริง ยอมความดีของใจพระองค์จริง ใจสงบสุขใจในความดีของใจพระท่านจริง
ลูกรักของพ่อ จิตเจ้า นิพพานเองจริง
ถ้าใจเจ้าจริงเชื่อใจพระองค์ท่านจริง
ในความจริงของใจพระองค์ท่านจริง
สุขใจในใจกันนะจ๊ะ ชาติสุดท้ายสู้ทนมันไป ทุกอย่างแค่ตาย มันตายเราไปนิพพานกัน ด้วยใจ..ใจสงบสุขใจจริง จริงในความดีของใจพระองค์จริง จริงในความรู้สึกจริงของใจเราจริง
สาธุ..โมทนานะ ขอบคุณที่อ่านกัน รักนะทุกคน
รู้ใช่ไหม ใจเราอยู่ตรงไหนถึงรู้สึกสุขใจที่สุด
ก็จงอยู่ตรงนั้นจริง จริงของใจเราจริง..พอ
ใจมีความดีของใจพระองค์ คือวิหารธรรมจริง เป็นที่อยู่จริง จริงของใจเราจริง จริงด้วยความรักและรู้คุณความดีของใจพระองค์ท่านจริง ความจริงคือใจ..ใจสุขใจในใจพระท่านจริง สุขใจนี้ดีที่สุดจริงของใจเราจริง
พุทธภูมิเราเพิ่งลาชาตินี้ จิตเราเป็นพุทธภูมิตั้งแต่เริ่ม มันยาวนานแค่ไหน เธอนึกดู สุดท้ายแล้ว ที่ทำมาแทบเป็นแทบตายคือศูนย์ เธอว่า..เราเห็นอะไรของใจเราเองจริง?
เห็นแค่นี้ สุขจริงคือความจริงของใจจริง สุขจริงในความดีของใจพระองค์จริง ใจ..ใจในใจกันจริง เราเห็นแค่นี้ของใจเราจริง
จึงกล่าวว่า..ศูนย์..จริง ๆ ในตัวเราเองจริง
คงอาจไม่มีใครเข้าใจ..แต่สักวันจะชัดเอง
ในคำว่า..ใจประเสริฐสุด
ในคำนี้เอง...จริง
เราไม่สามารถทำให้ใจ ใจของใครเป็นสุข..เขาต้องสุขใจด้วยใจเขาเองจริง
เราช่วยได้แค่บอก บอกตามพระท่าน
สุขด้วยใจ ในความรู้สึกจริงของใจเราจริง เราได้แค่ใจเราเองจริง
เธอจงอย่าสนใจในจริยาของใคร
ใครจะดี ใครจะเลว นั่นคือเรื่องของเขา
เรื่องของเรา..คือใจ..ในความรู้สึกจริงของใจเราจริง
ท่านสนใจแค่นี้จริง
จึงถึงจริงในพระนิพพานจริง ด้วยความรู้สึกจริง สุขใจจริงของใจในใจท่านจริง
เราอยู่ของ ๆ เราอย่างนี้จริง
จ๊ะ..ดูใจตัวเองพอ
ใจสุขใจในใจพระจริง..พอ
ใจสุขใจในสงบนิพพานของใจเราจริง...พอ
ใจสุขใจจริง..นรกเขาไม่ต้องการ
สวรรค์..เขาไม่เอา
พรหมโลก..เขาไม่เอา
ชาวโลก..เขาไม่เอา
ก็เรื่องของเขา
คือเขาไม่เอาสุขใจอย่างนี้.เขาไปเอาสุขอย่างอื่น
นั่นแหละ...เลยเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
เราช่วยได้แค่บอกความจริง
พี่ก็ทำแค่นี้...เหมือนกัน
ด้วยใจสงบสุขในความดีของใจพระท่านจริง
เราคุยจากสิ่งนี้ของใจเราจริง
ในเมื่อเขาไม่เอา ก็เรื่องของเขา เขาจะไปไหนก็เรื่องของเขา พี่ถึงไม่อะไรกับใคร เราให้ความจริง..ให้หมดใจเราแล้ว เรื่องของเรา..นิพพาน..ใจสุขใจเราจริง..พอ น้อ..ตามสบายกัน ใครไม่เอาก็ช่างเขา
จำไว้อย่าง "ทิฐิมานะ..มันปิดกั้นความดีของใจ"
ที่จะถึงความดีของใจพระท่านจริง
ปิดกั้นใจ..ใจสงบสุขใจของใจ..จริง
คุณทำร้ายใจคุณเองด้วยสิ่งนี้เอง
พี่ยอมพระจริง จึงสุขใจจริงในความดีของใจพระองค์ท่านจริง มีแค่นี้เองจริง ๆ
มาดี..ไปดีเอง
จำคำนี้ไว้
ดีเอง หมดสงสัยเอง
ใจถึงจริง..หมดสงสัยเอง
คนเรามันฟุ้งในความอยาก แต่ไม่สงบจริง ในใจสุขใจของใจจริง
มันเลยถึงยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น